ปลักตมและราชวัง

มกราคม 11, 2016

โดย มาเรีย ฟอนเทน

คุณเคยปรารถนาไหมว่าชีวิตน่าจะเติมเต็มด้วยช่วงเวลาที่แสนวิเศษ เมื่อความฝันกลายเป็นจริงต่อหน้าต่อตาคุณ ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง บางทีคุณอาจเรียนรู้อะไรใหม่ๆ หรือทำความคืบหน้าในบางด้านที่สำคัญต่อคุณ บางทีเงินทองไหลมาเทมา หรือคุณเชื่อมสัมพันธ์กับผู้คนที่หิวกระหายความจริงทางจิตวิญญาณ หรือชีวิตคุณเต้นระรัวด้วยวัตถุประสงค์ที่ควรค่า คุณรู้สึกถึงไออุ่นของพระเจ้าที่เติมเต็มคุณด้วยพรอย่างล้นเหลือ ถึงแม้ว่าจะต้องใช้ความพยายามมากกว่าปกติ แต่ความอิ่มเอิบใจและความพึงพอใจกับสิ่งที่บรรลุผลผ่านตัวคุณ ก็น่าตื่นตาตื่นใจ

ฉันมั่นใจว่าเราทุกคนอยากชื่นชมกับช่วงเวลาเช่นนี้เสมอ ชีวิตดำเนินต่อไป บางครั้งเราพบว่าตัวเองต้องรวบรวมความกล้าเพื่อฝ่าประสบการณ์ที่ว้าวุ่นใจ ซึ่งรับไม่ค่อยได้ สิ่งที่เราประสบอาจทดสอบความอดทนและศรัทธาของเรา การค้นพบคุณค่าในสิ่งที่เราทำอยู่ อาจดูเหมือนว่าหาได้ยาก หรือแม้แต่หาไม่เจอด้วยซ้ำ เราอาจเผชิญหน้าความไม่พึงพอใจกับตนเองหรือสภาพการณ์ของเรา ถ้าการที่เราพยายามทุกวิถีทางที่จะทำสิ่งที่ถูกต้อง แต่ต้องลงเอยด้วยการจมปลักอยู่กับปัญหาและเรื่องยุ่งยากใจ

ภายใต้สภาพการณ์เช่นนี้ ก็ง่ายที่จะรู้สึกราวกับว่าถูกทอดทิ้ง หรือไม่ได้รับการเกื้อหนุนและแนวทางจากพระองค์ วันเวลาก็ยากเย็น ราวกับติดอยู่ในปลักตม เมื่อเราพยายามสุดความสามารถที่จะทำดี แต่ดูเหมือนว่าส่งผลน้อยนิดหรือไม่เห็นผลเลย เรารู้สึกราวกับว่าจมดิ่งลงไปในปลักตมของความสิ้นหวัง

ทว่าคุณรับกำลังใจและแรงจูงใจได้ จากข้อเท็จจริงที่ว่าไม่ใช่คุณคนเดียว ผู้คนของพระเจ้าจำนวนมากในพระคัมภีร์ เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน เคย“อยู่ในปลักตม” ขณะที่มุ่งหน้าไปสู่การบรรลุผลงานชิ้นสำคัญ ซึ่งพระองค์มอบหมายให้ทำ

ลองดูเปาโลสิ คริสเตียนจำนวนมากถือว่าเขาเป็นแบบอย่างความศรัทธาที่ยั่งยืน ท่ามกลางการข่มเหงรังแกและความยากลำบากไม่รู้สิ้นสุด ตลอดช่วงเวลาส่วนใหญ่ที่เขาทำงาน อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าเขามักจะนึกคิดในแง่บวก ท่ามกลางการดิ้นรนต่อสู้ เขาคงประสบช่วงเวลาที่ต้อง“จมปลัก” พอสมควร ช่วงหนึ่งที่จำได้คือ สองปีที่เขากลับไปใช้ชีวิตที่เมืองทาร์ซัส บ้านเกิดเมืองนอนของเขา

หลังจากได้เผชิญหน้ากับพระเยซูที่ดาร์มัสกัส และหันมามีความเชื่อหลังจากนั้น เปาโลตัดขาดจากชีวิตในอดีต เขาทุ่มเทชีวิตให้กับการเป็นสาวกของพระเยซู เขาถวายทุกสิ่ง แต่กลับพบว่าความพยายามด้วยใจแรงกล้า และความสับสนที่ก่อขึ้นในหมู่ผู้นำชาวยิวจำนวนมาก ทำให้เขาถูกตัดขาดจากเพื่อนฝูงชาวยิวในอดีต พวกนั้นโมโหโทโส จนถึงกับมีคนคอยลอบสังหารเขา ก่อนที่เขาจะหลบหนีออกจากเมืองไป แล้วเขาก็ไม่ได้รับการไว้วางใจจากผู้ที่เขาถือว่าเป็นพี่น้องในพระคริสต์เช่นกัน การที่เปาโลเคยข่มเหงรังแกคริสเตียนก่อนหน้านั้น ทำให้พวกเขาสงสัยว่าเปาโลหันมามีความเชื่อจริงหรือไม่

เขาถูกทอดทิ้ง และถูกส่งกลับไปยังบ้านเกิดเมืองนอน[1] ฉันมั่นใจว่าคงยากมากที่จะไม่คิดว่าเขาล้มเหลว ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง แต่เขาไม่เลิกพยายามใช้สภาพการณ์ที่ตนเองประสบ เพียงเพราะว่าการเป็นพยานที่ทาร์ซัสนั้นดูน้อยนิด เขามุ่งมั่นที่จะทำสิ่งเล็กน้อยเท่าที่ทำได้ ในช่วงสองปี จนกระทั่งพระองค์ส่งบาร์นาบัสมา พร้อมด้วยนิมิตหมายเรื่องการประกาศพระกิตติคุณที่เอเชียตะวันตกเฉียงใต้ และทั่วจักรวรรดิโรมันในผลที่สุด[2]

แล้วเอลียาล่ะ[3] หลังจากเผชิญหน้ากับราชินีเจสซาเบล และกษัตริย์เอฮาบ เขาทำนายว่าจะเกิดภาวะฝนแล้งและกันดารอาหาร เพราะบาปของพวกเขา พระเจ้าส่งเอลียาไปยังหุบเขาที่ห่างไกล ใกล้กับลำธาร โดยที่ไม่มีใครจะบอกเล่าข่าวสารของพระเจ้าให้ฟัง เขาคงรู้สึกไร้ประโยชน์ ต้องนั่งจับเจ่าอยู่ที่นั่น โดยไม่มีอะไรทำ แค่เหวี่ยงก้อนหินบนผิวน้ำ รำลึกถึงสิ่งที่เขาเคยเป็น และเคยทำมาจนถึงบัดนี้ เหตุการณ์แย่ลงอีก

ลองนึกภาพตัวเองในสภาพการณ์ของเขาดูสิ ตอนนี้เขาคงอยากไปเผชิญหน้ากับราชาและราชินีเหลือเกิน ด้วยข่าวสารเพิ่มเติมจากพระเจ้า ทว่างานมอบหมายต่อไปของเขา ไม่ใช่ที่ราชวัง หรือการท้าทายผู้พยากรณ์ของบาละ ทว่าเป็นเมืองซาเรฟัธที่แปลกถิ่น ไม่มีการเป็นพยานครั้งใหญ่โต ไม่มีฝูงชนให้ดลใจ หรือศัตรูให้ฟันฝ่า มีแค่หญิงผู้ยากไร้กับลูก และกระต๊อบให้เขาพักอาศัย เขาตกต่ำถึงขนาดนี้ได้อย่างไร ทว่าเขาเชื่อฟังและสัตย์ซื่อ ทั้งๆ ที่คงดูเหมือนความพ่ายแพ้อย่างสิ้นเชิง

เขายึดมั่นตลอดช่วงที่แร้นแค้น เมื่อถึงเวลาพระเจ้าก็มอบหมายให้เขายืนหยัดเพื่อท้าทายผู้พยากรณ์หลายร้อยคนของบาละ การเรียกไฟลงมาจากสวรรค์ทรงพลังยิ่งกว่าอะไรที่พระเจ้าเคยทำผ่านเอลียามาก่อน ทว่าเอลียาไม่เห็นผลลัพธ์ในบั้นปลายอย่างชัดเจน ขณะที่ผ่านช่วงเวลาใน“ปลักตม” ที่ดูเหมือนไร้ประโยชน์ เมื่อดูอย่างผิวเผินทุกสิ่งกลับกันกับที่เขาอยากทำ การหลบซ่อนอยู่ในต่างแดน คงทำให้เขาดูอ่อนแอและขี้ขลาดตาขาว คงน่าถ่อมตนทีเดียว ทว่าเมื่อพระเจ้าบัญชา เขาก็กลับไปด้วยพลังจากพระวิญญาณของพระเจ้า นี่ประจักษ์ชัดต่อทุกคนว่าพระเจ้าเป็นผู้ที่ทำมหัศจรรย์

จริงอยู่ที่ว่าผู้มีศรัทธามหาศาลหลายคนประสบกับช่วงที่“สูงส่ง” เช่น โจเซฟกับฟาโรห์ หรือเอลียาเรียกไฟลงมาจากสวรรค์ หรือดานิเอลในราชวังกษัตริย์ ทว่าส่วนใหญ่แล้วเขาเคยอยู่ในปลักตมกันทุกคน เพราะศรัทธาของเขาสะท้อนให้เห็นและได้รับการเสริมสร้างอย่างชัดเจน เมื่อตกอยู่ในสภาพเช่นนั้น

ชั่วขณะหนึ่งโจเซฟสูงส่ง ใฝ่ฝันว่าแม้แต่พวกพี่ชายจะก้มคำนับเขา[4] ต่อมาเขายืนรอที่จะถูกขายเป็นทาสในต่างถิ่นต่างแดน[5] ผลที่สุดเขาไปถึงจุดที่คงคิดว่ามีอำนาจสูงสุด โดยควบคุมดูแลครัวเรือนของบุคคลสำคัญที่สุดคนหนึ่งของอียิปต์ ทว่าเพียงระยะสั้นๆ เมื่อเขาพบว่าตนเองต้องเคราะห์ร้าย เพราะภรรยาผู้เคียดแค้นของชายคนนี้ ยังผลให้เขาต้องถูกจำคุก จากยืนหยัดเพื่อความเชื่อมั่นของตน

ฉันได้แต่จินตนาการว่าเขาคงรู้สึกท้อแท้ใจและพ่ายแพ้อย่างที่สุด ดูเหมือนว่าเขาล้มเหลวโดยสิ้นเชิง ถึงแม้เขารู้สึกไร้ประโยชน์ เขาก็ใช้โอกาสเล็กน้อยที่มีอยู่ทำสุดความสามารถต่อไป ถึงแม้ว่าจะเป็นการทำนายความฝันท่ามกลางอาชญากรและคนอับโชค เช่นเดียวกับเขา เขาใช้สิ่งที่มีอยู่ใน“ปลักตม”ของที่คุมขัง แล้วชีวิตหนึ่งที่เขาสัมผัสในนั้น ผลที่สุดก็มีบทบาทสำคัญที่ช่วยให้เขาทะยานไปสู่ตำแหน่งที่พระเจ้าเตรียมไว้ให้เขา โดยมีอำนาจเป็นอันดับสองในอียิปต์[6]

พลังอำนาจและความรักในชีวิตลูกๆ ของพระองค์ ต้องสะท้อนให้เห็น ทั้งในยามย่ำแย่ เช่นเดียวกับยามที่ยอดเยี่ยม โดยดำเนินไปในปลักตมด้วย ไม่ใช่แค่ในราชวัง

บางครั้งช่วงเวลาใน“ปลักตม” อาจมาก่อนสิ่งที่เราคงคิดว่าเป็นงานรับใช้ยิ่งใหญ่ที่สุดต่อพระองค์ ทว่าใครจะบอกได้ว่าอนาคตลงเอยเช่นไร ดังที่มีคนเคยกล่าวไว้ว่า “ถ้าเรายังไม่สิ้นชีวิต เราก็ยังทำงานไม่เสร็จลุล่วง!”

ดานิเอล[7]คงความสัตย์ซื่อ เมื่อประสบสถานการณ์ที่สุดวิสัยมากมาย และได้พิสูจน์ให้เห็นถึงพลังอำนาจของพระเจ้า ต่อเนบูคัสเนซาร์ ครั้งแล้วครั้งเล่า แต่พอถึงสมัยกษัตริย์องค์ใหม่ เบลเชสซาร์ไม่ยินดีต้อนรับเขาในท้องพระโรง ทว่าสิ่งที่ดูเหมือนจุดจบ เป็นแค่ช่วงการเตรียมตัวสำหรับสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิด พระเจ้ายื่นมือเข้ามา ด้วยการนำฝ่ายปกครองโลกชุดใหม่ ซึ่งส่งดานิเอลทะยานไปสู่ตำแหน่งที่ปรึกษาของกษัตริย์แห่งจักรวรรดิเมโด-เปอร์เซีย ชื่อดาเรียส

แล้วโมเสสล่ะ ถึงแม้พระเจ้าให้โมเสสได้รับการเลี้ยงดูในวังของฟาโรห์ ด้วยเหตุผลหนึ่ง ทว่าการงานสำคัญที่สุดของเขาไม่ได้อยู่ในวัง โมเสสหนุ่มแน่น แข็งแกร่ง และมีความมั่นใจสูง ทว่าเขายังไม่พร้อมสำหรับ“ราชวัง” คือช่วงเวลาที่เขาจะเป็นเครื่องมือให้พระเจ้าใช้ เพื่อปลดปล่อยผู้คนของพระองค์[8] พระเจ้าให้เขาจมปลักอยู่ที่มิเดียน โดยที่ดิ้นรนต่อสู้เป็นเวลาหลายปีในป่าเขา ที่ซึ่งเขาต้องไว้วางใจพระเจ้าสำหรับทุกสิ่ง แต่เมื่อเราเห็นว่าเขากลายเป็นบุคคลเช่นไร คือเป็นคนชราที่พูดตะกุกตะกัก[9] พระเจ้าส่งเขาไปอยู่ในหมู่ทาสที่อียิปต์ ด้วยศรัทธาว่าพระเจ้าจะทำตามแผนการของพระองค์ผ่านเขา แล้วสิ่งมหัศจรรย์ก็เกิดขึ้น

“ราชวัง”ของเราอาจไม่เหมือนกันหมด เมื่อดูจากภายนอก ในกรณีของโมเสส ดูเหมือนว่า“ราชวัง”ของเขา คือการได้ทำตามที่ใจปรารถนา โดยปลดปล่อยผู้คนของเขาจากการเป็นทาส ความรับผิดชอบและการดิ้นรนต่อสู้ทั้งหมด ในการนำผู้คนของพระเจ้า อาจฟังดูไม่เหมือน“ราชวัง”อย่างที่เราคิด ทว่าพระเจ้าเล็งเห็นความปรารถนาในใจเรา และสัญญาว่าจะบันดาลให้เป็นไปตามนั้น ถ้าเราฝากหนทางของเราไว้กับพระองค์ จะมีอะไรที่ดีกว่านี้อีก

แล้วพระเยซูล่ะ พระองค์มีช่วงเวลาใน“ปลักตม”แน่นอน! พระเจ้าแห่งจักรวาล ยอมสละสง่าราศีในสวรรค์ เพื่อมาเผชิญหน้ากับความไม่สมหวัง ความเจ็บปวด และความเศร้าโศกในชีวิต เช่นเดียวกับเรา ต้องสละพลังอำนาจไม่มีที่สิ้นสุด ซึ่งเคยมี พระเยซูกล่าวว่า “สุนัขจิ้งจอกยังมีโพรง และนกในอากาศยังมีรัง แต่บุตรมนุษย์ไม่มีที่ซุกหัวนอน”[10] พระองค์ใช้เวลาส่วนใหญ่ท่ามกลางคนยากจน คนเจ็บป่วย และคนที่สังคมไม่ยอมรับ เพราะพวกเขาต้องการแสงสว่างของพระองค์อย่างที่สุด นั่นเปิดทางให้เราเข้าใจความรักสุดซึ้งที่พระองค์มีต่อเรา

คุณพบว่าตัวเองดิ้นรนต่อสู้ฝ่า“ปลักตม”อยู่หรือเปล่า โดยสงสัยว่าทำไมพระเจ้าถอนรากถอนโคนคุณไปจากสิ่งที่ควรค่าซึ่งคุณทำอยู่ แล้วให้คุณล้มคว่ำอยู่ในปลักตม หรืออยู่ในที่ซึ่งเหมือนห้องขัง ถ้าหากมีกรงขังล้อมรอบคุณไว้ บางทีคุณคงฝ่า“ชั่วขณะของผู้พยากรณ์” ซึ่งพระองค์เตรียมคุณให้พร้อมสำหรับบางสิ่งที่จะก้องกังวานในหัวใจผู้อื่น และจะก้องกังวานต่อไปชั่วนิรันดร์ การดำเนินไปด้วยศรัทธาจะเล็งเห็นชัดเจน ก็ต่อเมื่อไม่มีทางเลือกอื่นที่มองเห็นได้อีกต่อไป

ถ้าคุณเคยรู้สึกราวกับว่าสิ่งต่างๆ ในชีวิตคุณผิดไปถนัด จนพระเจ้าไม่อาจช่วยกอบกู้คุณไว้ และไม่อาจใช้คุณสำหรับบางสิ่งที่พระองค์เรียกว่ายิ่งใหญ่ ขอให้ระลึกถึงสิ่งที่กษัตริย์เดวิดกล่าว เขาได้ทำสิ่งที่เลวร้ายบางอย่าง แต่เขารู้ว่าเมื่อเขากลับใจสำนึกผิด ความรักจากเบื้องบนไม่มีวันทอดทิ้งเขา แต่จะโอบอุ้มเขาไว้ จนฝ่าทุกสิ่งทุกอย่างไปได้

“ข้าจะหนีหน้าจากพระวิญญาณ หรือจะหนีให้พ้นพักตร์ของพระองค์ได้อย่างไร ถ้าข้าขึ้นไปยังสวรรค์ พระองค์สถิตอยู่ที่นั่น ถ้าข้าจะอยู่ในขุมนรก ดูเถิด พระองค์ก็สถิตที่นั่น ถ้าข้าจะติดปีกแสงอรุณ และพำนักอยู่ที่ทะเลไกลโพ้น แม้ถึงที่นั่น หัตถ์ของพระองค์จะนำข้า และหัตถ์ขวาของพระองค์จะยึดข้าไว้ ถ้าข้าจะว่า ‘ความมืดจะบดบังข้าไว้แน่นอน และความสว่างจะรอบข้าจะดับลง’ สำหรับพระองค์แม้ความมืดก็มิได้ซ่อนอะไรไว้จากพระองค์ กลางคืนก็แจ้งอย่างกลางวัน ความมืดเป็นดุจความสว่าง”[11]

แบบอย่างของคนที่พระเจ้าเรียกว่าผู้ยิ่งใหญ่ พวกเขาล้วนมีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกัน เขามุ่งมั่นด้วยใจแน่วแน่ที่จะคงความสัตย์ซื่อ ตลอดช่วงเวลาที่เขามองไม่เห็นแผนการที่พระองค์วางไว้ แต่ละคนมีประสบการณ์ที่พระองค์ออกแบบให้ เพื่อช่วยเขาพัฒนานิสัยใจคอที่เข้มแข็ง ตามแบบอย่างของพระเจ้า บางทีเขาอาจต้องเรียนรู้ถึงความถ่อมตน เช่น โจเซฟ หรือเพียงแต่เชื่อฟังด้วยศรัทธา ไม่ว่าบางสิ่งจะดูเป็นไปไม่ได้สักแค่ไหน เช่น เอลียา ในกรณีของดานิเอล สิ่งหนึ่งที่ดูเหมือนพระเจ้าสอนเขาก็คือ ตราบใดที่เรามีชีวิตอยู่ในโลกนี้ พระองค์มีวัตถุประสงค์สำหรับเราที่นี่ และเราไม่มีวันทราบอย่างถ่องแท้ว่าอนาคตจะลงเอยเช่นไร

พระเยซูดำเนินงานในชีวิตเราแต่ละคนโดยเฉพาะ เพราะไม่มีคนสองคน หรือวิถีชีวิตของใครที่เหมือนกันโดยสิ้นเชิง ไม่ว่าปัจจุบันและอนาคตจะกุมอะไรไว้ ขอให้ระลึกว่าคุณมีคำสัญญาของพระองค์ ว่าพระองค์จะเดินเคียงข้างคุณไป ไม่ว่าจะเป็นราชวัง หรือในปลักตม

โพสต์ครั้งแรก เดือนมิถุนายน ค.ศ. 2013 โพสต์ครั้งใหม่บนจุดยึดเหนี่ยว เดือนมกราคม ค.ศ.2016


[1] กิจการ 9:22–31

[2] กิจการ 11:25–26, 13:1–3

[3] 1 พงศ์กษัตริย์ 17,18

[4] ปฐมกาล 37:9–11

[5] ปฐมกาล 37:28

[6] ปฐมกาล 39–41

[7] ดานิเอล 5, 6

[8] อพยพ 2:10–15

[9] อพยพ 4:1–14

[10] มัทธิว 8:20

[11] เพลงสดุดี 139:7–12

Copyright © 2024 The Family International