แสงสว่างปลายทาง

สิงหาคม 11, 2016

โดย มาเรีย ฟอนเทน

[Light at the End of the Valley]

คุณเคยเผชิญหน้ากับสภาพการณ์ที่ดูสิ้นหวังบ้างไหม คุณรู้สึกราวกับว่าไม่มีทางออกที่จะหนีพ้นจากความยากลำบากที่ประสบ และทุกสิ่งดูราวกับว่าสูญเปล่า หรือคุณอาจตกอยู่ในสถานการณ์ที่ดูเหมือนสุดวิสัย ราวกับว่าจะไม่มีที่สิ้นสุด และไม่มีวี่แววความหวัง

อาจดูเหมือนว่าคุณโดดเดี่ยว และรู้สึกว่าไม่มีใครอื่นประสบสภาพการณ์ที่หนักหน่วง น่าหวาดหวั่น และเจ็บปวดเช่นนี้ ราวกับว่าปัญหาประดังเข้ามารอบด้าน และไม่มีทางหลบหนี ราวกับว่าคุณไม่ได้ยินเสียงพระเจ้าพูดกับคุณ และไม่มีอะไรที่บ่งบอกว่าพระองค์สถิตอยู่ด้วย

บางทีอาจช่วยได้ที่จะระลึกว่าคนที่มีชื่อเสียงเรียงนาม เคยรู้สึกเช่นเดียวกันนี้ เขาประสบกับความทุกข์ร้อนอย่างยิ่ง ถ้าคุณคิดว่าฉันจะบอกว่าเขาผ่านพ้นมาได้ ด้วยความยินดีล้นพ้น และมีชัยชนะยิ่งใหญ่ในหัวใจ โดยไม่บาดเจ็บ ทว่าเปล่าเลย ฉันจะไม่บอกเช่นนั้น เพราะไม่ได้เป็นเช่นนั้น

ต่อไปนี้เป็นตัวอย่างจากบุคคลในพระคัมภีร์สองสามราย ผู้ซึ่งทนทุกข์เหลือคณา เราเห็นเพียงแวบหนึ่งของสิ่งที่เขาประสบ ทว่าไม่กี่ถ้อยคำบนหน้ากระดาษ ถ่ายทอดถึงการดิ้นรนต่อสู้กับการสู้ศึกหนักหน่วงที่แทบจะเหลือทน

เราต่างก็รู้เรื่องของโยบ คงไม่เสียหายที่จะกลับไปอ่านเรื่องราวให้ชัดเจนโดยละเอียดถึงสิ่งที่เขาประสบ เขาปวดร้าวและทุกข์ทนอย่างมาก จนขมขื่นใจและกล่าวโทษพระเจ้าที่ให้เขาเกิดมา เขาทนทุกข์จนถึงกับขอให้พระเจ้าจบชีวิตเขาเสีย

อับราฮามก็อีกคนหนึ่ง เขาแทบจะทนความปวดร้าวที่แสนสาหัสไม่ไหว เมื่อพระเจ้าขอให้เขาส่งบุตรคนหัวปีคืออิชเมลไปเสีย นึกดูสิว่าเขาต้องปวดร้าวสักแค่ไหน เมื่อต้องสังเวยไอแซค ผู้เป็นบุตรแห่งความหวัง บุตรแห่งคำสัญญา ซึ่งจะสืบเชื้อสายของเขา และจะเกื้อหนุนเขาในยามแก่เฒ่า บุตรที่เขารักปานดวงใจ

ฉันคิดว่าโมเสสท้อใจทีเดียว (กล่าวเบาะๆ) เมื่อผู้คนที่เขาอุทิศชีวิตเพื่อช่วยเหลือ หันมาต่อต้านเขา อาฆาตแค้นเขา วิพากษ์วิจารณ์และคอยจับผิดเขาตลอดเวลา ทั้งยังโจมตีเขาด้วยคำร้องทุกข์ และเล่นงานเขาด้วยการใส่ร้ายป้ายสี โดยกล่าวหาเขาอย่างร้ายแรง ครั้งแล้วครั้งเล่า ว่าพาพวกเขามาตายในป่า จนกระทั่งโมเสสร้องหาพระเจ้าสุดจิตสุดใจ ว่า “ข้าจะทำอย่างไรดี คนเหล่านี้เตรียมจะเอาหินปาข้าแล้ว”

ดาวิดต้องสูญเสียบุตรชายบางคน สูญเสียอาณาจักร สุขภาพทรุดโทรม และพ่ายแพ้ศึกให้กับศัตรูหลายครั้ง เป็นการยากที่จะนึกภาพความทุกข์ทรมานและความรันทดใจที่เขาต้องประสบเป็นเวลานาน ความวิบัติและความสิ้นหวังที่เขาต้องประสบสะท้อนอยู่ในบทเพลงสุดดีที่เขาเขียนไว้ ลองฟังข้อความนี้ “พระองค์จะทอดทิ้งเราไปเลยหรือ และไม่เมตตาปรานีเราอีกหรือ ความรักของพระองค์เสื่อมคลายไปแล้วหรือ คำสัญญาของพระองค์ไร้ผลหรือ พระองค์ลืมที่จะมีความกรุณาหรือ เพราะความโกรธพระองค์จึงไม่เวทนาหรือ"[1] ฟังดูราวกับว่าเขาหมดหนทางแล้ว

ฉันคิดว่าเยเรมีย์คงรู้สึกท้อใจที่สุด คงไม่มีอะไรที่แย่ไปกว่านี้อีก เมื่อกลุ่มผู้มีอิทธิพลวางแผนฆ่าเขา เขาถูกปฏิเสธ ถูกเยาะเย้ยและเหยียดหยาม เขาถูกจับเข้าคุก และโยนลงบ่อที่มีแต่โคลน เขาติดอยู่โคลน ขอบคุณพระเจ้า หาไม่นั่นคงเป็นจุดจบของเขาแล้ว! ดังนั้นก็มีอะไรที่น่าสรรเสริญพระเจ้าเสมอ แต่ฉันคิดว่าบางครั้งเขาคงจมดิ่งในความหดหู่ใจอย่างหนัก ลึกยิ่งกว่าโคลนตมในบ่อเสียอีก

ส่วนโจเซฟ! โจเซฟผู้น่าสงสาร! เขาคงประสบกับความท้อใจเหลือเกิน และรู้สึกหดหู่ใจบางครั้ง เขาถูกขายเป็นทาส เมื่อเหตุการณ์เริ่มดีขึ้น พวกคุณส่วนใหญ่คงทราบดี เขาถูกจับเข้าคุกอย่างไม่เป็นธรรม เขาหมดหวังว่าจะได้ออกมา เขาสิ้นหวังจริงๆ เป็นสถานการณ์ที่สุดวิสัย

เห็นได้ชัดว่าเปโตรพร้อมที่จะละมือจากงานที่ได้รับมอบหมาย หลังจากที่เขาปฏิเสธพระเยซู ลองนึกดูสิว่าเขารู้สึกอย่างไร หลังจากที่ปฏิเสธว่าไม่รู้จักพระผู้ช่วยให้รอด ไม่ใช่ครั้งเดียว แต่ถึงสามครั้ง เขาจะโผล่หน้าไปพบปะเจอะเจอกับผู้คนอีกได้อย่างไร แล้วจะให้กลุ่มผู้มีความเชื่อรุ่นแรกไว้วางใจให้เขาเป็นผู้นำอย่างนั้นหรือ

แม้แต่เปาโลเอง ส่วนใหญ่แล้วเขาพยายามเอ่ยถึงชัยชนะในจดหมายที่ให้กำลังใจกลุ่มผู้มีความเชื่อ แต่เขาก็รู้สึกสิ้นหวังและท้อแท้ใจบางครั้ง ใน 2 โครินธ์ 4:8 เปาโลเอ่ยข้อพระคำซึ่งเป็นที่รู้จักกันดี ว่า “เราถูกขนาบรอบข้าง แต่ก็ไม่ถึงกับวิตกกังวล เราจนปัญญา แต่ก็ไม่ถึงกับหมดหวัง” ทว่าในจดหมายฉบับเดียวกัน เปาโลกล่าวไว้ด้วยว่า “พี่น้อง เราอยากให้ท่านทราบถึงความทุกข์ยากที่เกิดแก่เราในแคว้นเอเชีย ซึ่งทำให้เราหนักใจเหลือเกิน จนเราเกือบหมดหวังที่จะอยู่ต่อไป”[2] นี่ชี้ให้เห็นว่าเรายังมีศรัทธาในพระเยซูได้ ถึงแม้ว่าสิ่งต่างๆ จะย่ำแย่เหลือเกิน จนดูเหมือนว่าตายเสียจะดีกว่า

เขาเหล่านี้เป็นผู้ยิ่งใหญ่ของพระเจ้า ถ้าเขาฝ่าฟันความปวดร้าวแสนสาหัสในชีวิตไปได้ เพื่อพระเจ้า ทำไมเราจึงคิดว่าแปลกที่พวกเราซึ่งเป็นลูกของพระเจ้าในปัจจุบัน ต้องประสบช่วงเวลาโดดเดี่ยว แม้แต่สิ้นหวัง เมื่อไม่เห็นสิ่งที่ดีๆ เกิดขึ้นในชีวิต ไม่เห็นบำเหน็จรางวัล ไม่เห็นผลจากคำสัญญา บ่อยครั้งดูเหมือนว่าประสบกับความล้มเหลว

ทุกคนต่างก็ผ่านหุบเขาแห่งการร่ำไห้และความทุกข์โศกในบางครั้ง ดาวิดอธิบายไว้ว่าเป็น “หุบเขาบาคา” ซึ่งมีความหมายตรงตัวว่าร่ำไห้และเศร้าโศก หุบเขาแห่งน้ำตา[3]

กุญแจสำคัญคือ เราฟันฝ่าไป เมื่อเป็นเช่นนั้น เราก็ทำตามที่พระคัมภีร์กล่าวไว้ โดย “ขุดบ่อน้ำ” จนกลายเป็นบ่อน้ำพุที่ให้ความสดชื่น

ในข้อพระคำสองข้อก่อนหน้านี้ ดาวิดกล่าวว่าผู้ที่สรรเสริญพระเจ้าจะมีพละกำลัง ในใจเขาคือผู้ที่ผ่านหุบเขาแห่งน้ำตา แล้วขุดเป็นบ่อน้ำ[4] เรามักจะเปรียบเทียบการสรรเสริญพระเจ้า ว่าเป็นสิ่งที่เราทำเมื่อรู้สึกอบอุ่น มีความสุข และอิ่มเอิบใจ ทว่าสิ่งหนึ่งที่ “บุรุษแห่งความศรัทธา” ทุกคนมีเหมือนกัน คือ เขาสรรเสริญพระเจ้าต่อไป ในขณะที่ฟันฝ่าหุบเขาบาคา ในขณะที่ทุกข์ตรมและทรมาน ทว่าเขาทุกข์ทรมาน

บางครั้งเขาทนทุกข์แสนสาหัส หรือสิ้นหวังเหลือเกิน เขาได้แต่ร้องขอความเมตตาจากพระเจ้า ทว่านั่นก็เป็นการสรรเสริญ เพราะเขายอมรับว่าพระเจ้าเป็นผู้ควบคุมสถานการณ์โดยสิ้นเชิง เขามีศรัทธาในความเมตตาและพลังอำนาจของพระองค์ เพื่อช่วยปลดปล่อยให้เขาหลุดพ้น

ข้อ 6 ในข้อความดั้งเดิมบ่งบอกเคล็ดลับที่แสนวิเศษ จาก Strong’s Concordance ข้อความในพระคัมภีร์ฉบับคิงเจมส์ที่แปลว่า “ฝนต้นฤดูทำให้สระน้ำเต็ม” ในภาษาฮีบรูดั้งเดิมแปลไว้ว่า “ปรมาจารย์ (อ้างอิงถึงพระเจ้า) แผ่ร่มเงาที่เปี่ยมด้วยพร” นั่นเป็นการตีความหมายที่ยอดเยี่ยม และเหมาะอย่างยิ่ง

ดังนั้นเมื่อเราผ่านหุบเขาแห่งน้ำตา ฟันฝ่าความทุกข์ทรมานและความยากลำบาก ทว่ายังสรรเสริญพระองค์ เราก็เปลี่ยนหุบเขาแห่งความทุกข์ทรมานที่โดดเดี่ยว ให้กลายเป็นบ่อน้ำพุที่สดชื่น และปรมาจารย์ของเราแผ่ร่มเงาที่เปี่ยมด้วยพร

น้ำที่กลายเป็นบ่อน้ำพุให้ความสดชื่น อาจเปลี่ยนเส้นทางในชีวิตเรา ซึ่งมืดมนและโศกเศร้า ให้กลายเป็นความยินดี เปลี่ยนการไว้ทุกข์เป็นการเต้นรำ โดยมอบการปลอบโยนและความงามให้แก่เรา[5] เมื่อเราผ่านพ้นหุบเขามาแล้ว เราก็มองย้อนหลังไปด้วยความสำนึกในบุญคุณ โดยตระหนักว่าสิ่งเหล่านี้ช่วยเพิ่มพูนชีวิตเราให้อุดมยิ่งขึ้น ปรมาจารย์ของเราห้อมล้อมเราไว้ด้วยพรที่หาค่ามิได้ นี่เป็นการเติบโตทางจิตวิญญาณ และมีความเข้าใจพระองค์ลึกซึ้งยิ่งขึ้น ด้วยจิตใจที่เหมือนกับจิตใจพระองค์มากยิ่งขึ้น

จัดพิมพ์ครั้งแรกเดือนกันยายน ค.ศ.2012 ปรับเปลี่ยนและจัดพิมพ์ใหม่เดือนสิงหาคม ค.ศ.2016


[1] เพลงสดุดี 77:7-9

[2] 2 โครินธ์ 1:8

[3] เพลงสดุดี 84:6

[4] เพลงสดุดี 84:4-5

[5] เพลงสดุดี 30:11

Copyright © 2024 The Family International